
Integrity Legal
- Legal Blog
- Integrity Legal Home
- Thai Visa
- Company in Thailand
- Real Estate Thailand
- US Visa
- Contact Us
Archive for the ‘สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย’ Category
25th April 2010
ยื่นแบบ I -130 ในประเทศไทย : จำเป็นต้องยื่นด้วยตนเองหรือไม่
Posted by : admin
ในกระทู้ก่อนๆผู้เขียนได้กล่าวถึง การยื่นแบบ I-130 เพื่อขอวีซ่าอเมริกาสำหรับญาติสนิท สำหรับผู้ที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่มีสำนักงานของ USCIS ก็อาจจะยื่นคำขอต่อกงสุลโดยตรงโดยใช้วิธีการ Direct Consular Filing อย่างไรก็ตาม สำหรับในประเทศที่มีสำนักงาน USCIS อยู่ ผู้ยื่นก็จำเป็นต้องยื่นเรื่องต่อสำนักงาน USCIS โดยตรง โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องมีคุณสมบัติคือมีถิ่นที่อยู่ในเขตอำนาจของสำนักงานนั้นๆ นั่นหมายความว่า บางคนเข้าใจผิดๆว่าผู้ยื่นและผู้รับผลประโยชน์เท่านั้นจึงจะยื่นคำขอได้ ซึ่งไม่ใช่เสียทีเดียว
มาตรา 8 CFR 292.1 กล่าวว่า :
(เอ) บุคคลที่สามารถมีตัวแทน ( ต่อ USCIS ) อาจจะใช้ตัวแทนยื่นเรื่องได้ ดังนี้
(1) ทนายความในสหรัฐอเมริกา ทนายความคนใดตามมาตรา 1.1(f) แห่งหมวดนี้
มาตรา 1.1(f) ที่อ้างไว้ข้างต้นกล่าวว่า
“ คำว่าทนายความหมายถึงบุคคลใดๆที่เป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภาของศาลสูงสุดในมลรัฐใดๆ เขตแดน รัฐอาณานิคม คอมมอนเวลท์ หรือ เขตโคลัมเบีย และไม่อยู่ภายใต้คำสั่งศาลจำกัดอำนาจ ห้าม กัน ถอนใบอนุญาติ หรืออื่นๆอันเป็นการจำกัดมิให้ผู้นั้นประกอบอาชีพกฎหมาย “
ในทางปฏิบัติ หมายความว่า ทนายความที่มีใบอนุญาติในสหรัฐอเมริกา สามารถเป็นตัวแทนลูกความต่อ USCIS ได้ ไม่มีข้อจำกัดด้านถิ่นที่อยู่สำหรับสิทธิในข้อนี้ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการยื่นแบบ I -130 ที่สำนักงานท้องถิ่น สามารถจ้างทนายทำการแทนได้ตามกฎหมาย
วิธีการนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่ต้องการจะดำเนินการกับขั้นตอนการยื่นเรื่อง เนื่องจากเมื่อทนายความมีสิทธิ์ทำการแทนตัวความเกี่ยวกับคำขอ IR1 และ CR1 ในประเทศไทย ผู้ยื่นและผู้รับผลประโยชน์ก็เพียงเตรียมเอกสารที่จำเป็นแก่ทนายความและทนายความก็จะเป็นผู้ดำเนินการต่อเองในนามของผู้ยื่น ในบางกรณี USCIS กำหนดให้ ผู้ยื่นและผู้รับผลประโยชน์มาปรากฏตัวต่อหน้าสำหรับเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ หากมีกรณีเช่นว่า ผู้ยื่นและผู้รับผลประโยชน์ก็สามารถให้ทนายความดำเนินการเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ USCIS แทนได้
23rd April 2010
วีซ่าอเมริกา การเข้าเมือง และทฤษฎีสองเจตนา
Posted by : admin
For information in English please see: I-212.
สำหรับผู้ที่เข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยวีซ่าชั่วคราว มักจะต้องมีเจตนาไม่ต้องการอพยพเป็นหลัก หมายความว่า ผู้ที่เข้าประเทศจะต้องตั้งใจว่าจะอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราว และไม่มีเจตนาจะลงหลักปักฐานในสหรัฐอเมริกาเป็นการถาวร สหรัฐอเมริกากำหนดให้ต้องมีเจตนาไม่อพยพทั้งกับวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน และวีซ่าแลกเปลี่ยน สำหรับแต่ละประเภท ผู้ที่จะเข้าประเทศอาจโดนปฏิเสธวีซ่าตั้งแต่ที่สถานทูต หรือที่ด่านคนเข้าเมืองที่สหรัฐอเมริกาก็ได้ และเนื่องจากความเสี่ยงที่จะโดนปฏิเสธ จึงแนะนำให้ยื่นขอวีซ่าให้ตรงกับเจตนาในการเข้าเมืองของคุณ
ในทางกลับกัน คงจะไม่ดีหากจะขอวีซ่าถาวรหากว่าคู่สมรสมีไม่มีเจตนาที่จะย้ายถิ่นฐานไปสหรัฐอเมริกา ในกรณีเช่นนี้ เจตนาอาจจะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก แต่ก็ยังแนะนำให้มีเจตนาที่แท้จริงในการที่จะพำนักอาศัยอยู่ที่สหรัฐเมริกาจะดีกว่า
แต่แม้จะมีปัญหาสองอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังคงมีทางสายกลาง ให้คุณเลือก ทางสายกลางที่ว่าก็คือทฤษฎีสองเจตนา ทฤษฎีนี้มาจากความคิดที่ว่ามีหลายๆกรณีที่วีซ่าสหรัฐอนุญาติให้คนต่างด้าวอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นการชั่วคราวในขณะที่มีเจตนาอพยพ ทฤษฎีนี้มาจากความจำเป็นที่เกิดจากกรณีคนต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่าชั่วคราวและอยากได้กรีนการ์ด หน่วยงานคนเข้าเมืองของสหรํฐเข้าในดีว่ากรณีเช่นนี้ในบางกรณีสมควรได้รับการยอมรับและส่งเสริม
ตัวอย่างของการมองหาประเภทวีซ่าที่เหมาะกับตนเองอีกอย่างหนึ่งคือ กรณีวีซ่า เค วัน วีซ่าคู่หมั้น ซึ่งเป็นวีซ่าไม่ถาวร แต่คนต่างด้าวเข้าสหรัฐอเมริกาเพื่อไปอยู่กับคู่หมั้น เพื่อแต่งงาน และปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นผู้ถือกรีนการ์ดตามลำดับ ดังนั้น วีซ่าเค วัน จึงเป็นวีซ่าที่มีสองเจตนา ซึ่งอนุญาตให้อยู่ชั่วคราวได้ 90 วัน แต่ให้โอกาสในการขอกรีนการ์ด
นอกจากนี้ วีซ่า เค ทรี เป็นวีซ่าที่มีสองเจตนาเช่นกัน เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้วเป็นวีซ่าไม่ถาวร แต่เมื่อเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ผู้ถือวีซ่าจะต้องปรับเปลี่ยนสถานภาพ เนื่องจากวีซ่าเค ทรี ไม่ใช่กรีนการ์ด การใช้วีซ่าเค ทรี เข้าออกสหรัฐได้ถูกยกเลิกไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจาก ระยะเวลาขอวีซ่าถาวรลดลง ในขณะที่ระยะเวล่าขอวีซ่า เค ทรี เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
วีซ่า แอล วัน และ เอช วัน บี สำหรับผู้ทำงาน เป็นอีกตัวอย่างของวีซ่าชั่วคราวที่ให้มีสองเจตนาได้ แม้ว่าวีซ่าประเภทเหล่านี้เป็นไปโดยพื้นฐานการจ้างงาน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู วีซ่าอเมริกา
21st April 2010
ศูนย์วีซ่าแห่งชาติ และ วีซ่าอเมริกาจากประเทศไทย
Posted by : admin
For information in English please see: National Visa Center.
NVC คืออะไร?
กระบวนการขอรับผลประโยชน์จากการเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกาอาจจะยุ่งยากเป็นบางครั้ง แต่โดยภาพรวมแล้วหากว่าเข้าใจขั้นตอนหรือมีการจ้างทนายความผู้มีประสบการณ์ก็อาจจะทำให้ง่ายขึ้น
คำถามที่พบบ่อยๆเกี่ยวกับกระบวนการขอวีซ่าก็คือ NVC คืออะไรและมีหน้าที่อะไร NVC ย่อมาจากศูนย์วีซ่าแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐภายใต้อำนาจของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา NVC มีสำนักงานอยู่ที่ Portsmouth มลรัฐ New Hampshire อำนาจของ NVC คือการดำเนินการคำขอวีซ่าและทำให้แน่ใจว่าคำขอวีซ่าจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ผู้รับผลประโยชน์มีภูมิลำเนาอยู่
NVC ยังรับผิดชอบในการรวบรวมค่าธรรมเนียมวีซ่าถาวร และเอกสารสำคัญที่จำเป็นต้อเจ้าหน้าที่กงสุลในการพิจารณาคำขอ
กระบวรการดำเนินการของ NVC วีซ่าไม่ถาวรและวีซ่าถาวร
การดำเนินการของ NVC นั้นยุ่งยากและใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าสำหรับวีซ่าถาวร ซึ่งตรงข้ามกับวีซ่าไม่ถาวร กิจกรรมหนึ่งที่ NVC ทำบ่อยๆก็คือการตรวจสอบด้านความมั่นคงและตรวจสอบภูมิหลังของผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 NVC ได้มีบทบาทสำคัญเพื่อทำให้มั่นใจว่าบุคคลเหล่านั้นจะไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศสหรัฐอเมริกา
NVC นั้นบางครั้งถูกเข้าใจสับสนกับ NBC หรือ ศูนย์ผลประโยชน์แห่งชาติซึ่งได้รับมอบหมายจาก USCIS ให้จัดการเกี่ยวกับเอกสารก่อนสัมภาษณ์สำหรับการสัมภาษณ์คนเข้าเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับคนที่ต้องการนำคู่หมั้นชาวไทยไปอเมริกาโดยวีซ่า K1 ขั้นตอน NVC มักจะเร็วกว่าผู้ขอวีซ่าอพยพ ซึ่งก็เป็นจริงสำหรับกรณีวีซ่า K3 จากประเทศไทยที่ยื่นคำขอเพิ่มเติม I129F ในกรณีใดๆก็ตาม เมื่อวีซ่าได้รับการอนุมัติจาก USCIS มันจะถูกส่งต่อไปยัง NVC และ เมื่อได้รับอนุมัติคำขอจะถูกส่งไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกาหรือสถานกงสุลใหญ่
ขึ้นอยู่กับจำนวนเรื่องที่ NVC กระบวนการอาจจะใช้เวลาจาก 2 ถึง 8 สัปดาห์ ในการดำเนินการและส่งต่อเรื่องไปยังสถานทูตในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นแค่ระยะเวลาโดยเฉลี่ยเท่านั้น ระยะเวลาในการดำเนินการสำหรับหน่วยงานของสหรัฐก็มักจะต่างกันไป
เมื่อยื่นคำขอที่ USCIS ในกรุงเทพมหานคร NVC จะไม่เข้ามามีส่วนในขั้นตอนใดๆเนื่องจากคำขอจะถูกส่งตรงไปยังสถานทูตอเมริกาประจำกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
19th April 2010
Notice of Action 2 จาก USCIS คืออะไร?
Posted by : admin
สำหรับผู้ที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารวีซ่าอเมริกาที่เรียกว่า Notice of Action 2 ซึ่งถูกกล่าวถึงบ่อยในกรณีที่เกี่ยวกับคำขอวีซ่าคู่สมรสและวีซ่าคู่หมั้น กะทู้นี้จะอธิบายว่า Notice of Action 2 คืออะไร และมีความหมายอย่างไรกับคำขอวีซ่าที่อยู่ระหว่างพิจารณา
เมื่อยื่นคำขอวีซ่า เอกสารตอบรับฉบับแรกที่ได้รับจาก USCIS คือใบรับเรียกว่า Notice of Action 1 ( NOA 1 ) เพื่อเป็นการแจ้งแก่ผู้ยื่นขอวีซ่าว่า USCIS ได้รับคำขอวีซ่าแล้ว มีบางกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาเรื่องเห็นว่าต้องมีการยื่นหลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่เรื่องจะได้รับการพิจารณา ในกรณีเช่นว่านี้ คำขอหลักฐาน ( รู้จักกันในชื่อ RFE ) จะถูกส่งไปยังผู้ยื่นขอวีซ่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ หลักฐานเพิ่มเติมก็ไม่มีความจำเป็นและหากว่าคำขอวีซ่าได้รับการอนุมัติแล้ว Notice of Action 2 ก็จะถูกส่งไปยังผู้ยื่นขอวีซ่า ถ้าคำขอวีซ่าถูกปฏิเสธ ก็จะมีการส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ยื่นเช่นกัน
แม้ว่าจะไม่ค่อยเกิดขึ้นซักเท่าไหร่สำหรับคำขอวีซ่าครอบครัว การปฏิเสธของ USCIS ก็สามารถเกิดขึ้นได้ การปฏิเสธมักเป็นผลมาจากการที่คำร้องนั้นไม่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันแท้จริงระหว่างผู้ยื่นและผู้รับผลประโยชน์ในขณะที่ยื่น หรือในอีกกรณีคือการที่ยิ่นขอวีซ่าผิดประเภท การสมรสตามประเพณีไทยก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เข้าใจทางเลือกในการขอวีซ่าอพยพเมริกาได้อย่างผิดๆ ในประเทศไทย หากว่าการสมรสนั้นมิได้เป็นการจดทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ ก็ถือว่ามิได้เป็นการสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมายในสายตาของ หน่วยงานคนเข้าเมืองสหรัฐอเมริกาและไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้สามารถขอวีซ่าอพยพเข้าเมืองสหรัฐอเมริกาได้
ดังนั้น หากว่าคู่รักที่ได้สมรสกันอย่างไม่เป็นทางการยื่นขอวีซ่า IR 1, CR 1 หรือ K3 คำขอก็จะถูกปฏิเสธเพราะว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอในการออกวีซ่าให้ อย่างไรก็ตามสำหรับคู่รักในกรณีเหล่านี้ คุณสามารถขอวีซ่า K1 ได้
หลังจากที่ USCIS ออก Notice of Action 2 ให้ คำขอจะถูกส่งต่อไปยัง National Visa Center ในกรณีที่เกี่ยวกับวีซ่าอพยพถาวร NVC จะดึงเรื่องไว้นานพอสมควร อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณี ของวีซ่า K1 NVC จะไม่ดึงเรื่องเอาไว้นานสักเท่าไหร่ แต่จะดำเนินการตรวจสอบทางความมั่นคงและส่งต่อเรื่องไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกา ในกรณีคู่หมั้นชาวไทย จะมีการส่งเรื่องไปยังสถานทูตสหรับอเมริกาประจำกรุงเทพมหานคร กงสุลใหญ่ ประจำเชียงใหม่ จะไม่ดำเนินการวีซ่าอพยพถาวร
16th April 2010
แบบเรียกขอหลักฐานเพิ่มจาก USCIS คืออะไร?
Posted by : admin
For related information in English please see: Request for Evidence.
ในกระทู้คราวก่อน เราได้พูดถึงคำขอวีซ่าเบื้องต้นสำหรับคนรักต่างชาติของบุคคลสัญชาติอเมริกัน ในกระทู้นี้เราจะพูดถึงสิ่งที่ต้องทำในกรณีที่คุณได้รับแบบขอหลักฐานเพิ่มเติมจาก USCIS หลังจากที่ USCIS ได้รับคำขอของบุคคลสัญชาติอเมริกัน ก็จะส่งหนังสือแจ้งที่เรียกว่า Notice of Action 1 หรือ NOA 1 ให้ สำหรับคำขอวีซ่าที่ประสบความสำเร็จก็จะมีการส่ง Notice of Action 1 ตามด้วย Notice of Action 2 หรือหนังสือแจ้งการอนุมัติ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกรณีที่ USCIS เรียกเอกสารเพิ่มเติม ในกรณีที่เรียกหลักฐานเพิ่มเติม (RFE ) ส่วนใหญ่มักเกิดมาจากการที่เอกสารที่ยื่นไปนั้นใช้ไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องยื่นเอกสารที่มีความชัดเจนในการยื่นคำขอวีซ่าต่อ USCIS
เพื่อแก้ปัญหาการได้รับแบบเรียกหลักฐานเพิ่ม คู่รักหลายๆคู่เลือกใช้บริการทนายความด้านกฎหมายคนเข้าเมืองเพื่อช่วยยื่นคำขอวีซ่าให้ ทนายความที่มีประสบการณ์สามารถทำนายได้ว่าเจ้าหน้าที่คาดหวังจะดูเอกสารอะไรในการที่จะพิจารณาคำขอให้ อย่างไรก็ตามการจ้างทนายไม่ได้การันตีว่าคุณจะไม่ได้รับแบบเรียกขอหลักฐานเพิ่ม แต่ถ้าคุณได้รับแบบดังกล่าว ทนายความก็สามารถดำเนินการแทนคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แบบเรียกขอหลักฐานเพิ่มจะบอกว่าเอกสารอะไรที่ขาดไปหรือใช้ไม่ได้ หลังจากที่ได้ระบุตัวเอกสารแล้ว เจ้าหน้าที่จะพิจารณาว่าคุณจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไรและจะมีกำหนดยื่นเอกสารภายในระยะเวลาเท่าไรโดยการส่งคำขอเอกสารเพิ่มเติมให้แก่คุณ
อนึ่ง RFE ก็คล้ายๆกับแบบปฏิเสธวีซ่า 221 (g) จากสถานทูตสหรัฐ สาเหตุที่มันเหมือนกันก็เพราะว่าผู้ขอวีซ่าต้องยื่นเอกสารที่ถูกร้องขอก่อนที่จะมีการอนุมัติให้ดำเนินการใดๆต่อไปได้ ความต่างก็คือ เจ้าหน้าที่ที่ออกแบบคำขอ ในขณะที่ แบบ 221g นั้นออกโดยเจ้าหน้าที่สถานทูตแต่ แบบขอหลักฐานเพิ่มเติมออกโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคง ในกรณีทั้งสองเอกสารที่ถูกร้องขอเพิ่มเป็นไปเพื่อประกอบการพิจารณาเพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับผลประโยชน์ในคำขอวีซ่าสมควรได้รับสิทธิประโยชน์จริง
ในกรณีคำขอวีซ่า K1 เจ้าหน้าที่มักเรียกหลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์ที่แท้จริงหรือสถานภาพของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในกรณีคำขอวีซ่า K3 หรือ CR1 เจ้าหน้าที่มักขอหลักฐานยืนยันสถานภาพสมรสของคู่รักหรือสถานภาพของบุคคลก่อนการสมรสจะมีขึ้น
14th April 2010
Notice of Action 1 ของ USCIS คืออะไร?
Posted by : admin
ในกระทู้นี้เราจะกล่าวถึง Notice of Action 1 หรือ NOA 1 เพื่อแสดงคำนิยามทางกฎหมายคนเข้าเมืองสหรัฐอเมริกาที่แม่นยำให้แก่ผู้ที่กำลังจะขอวีซ่าอเมริกาจากประเทศไทย
ในกรณีเกี่ยวกับคนเข้าเมืองสหรัฐอเมริกาหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการเข้าเมืองด้วยจุดประสงค์ทางครอบครัว คำขอจะต้องได้รับการอนุมัติจาก USCIS เสียก่อน หน่วยงานนี้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับกระทรวงความมั่นคงสหรัฐอเมริกา (DHS)
เมื่อคู่รักเลือกที่จะยื่นขอวีซ่าสหรัฐอเมริกา ก็มักจะเป็นวีซ่า CR 1 , IR 1, K3 หรือ K 1 วีซ่า CR 1, IR 1 และ K 3 เป็นวีซ่าประเภทคู่สมรสอเมริกาทั้งหมด ในขณะที่วีซ่า K 1 เป็นวีซ่าคู่หมั้น วีซ่าประเภทเหล่านี้จะต้องได้รับการอนุมัติจาก USCIS ก่อนที่จะมีการกำหนดสัมภาษณ์ ในทางกลับกันวีซ่า B1, B2, F1 และ J1 เป็นวีซ่าไม่อพยพ ( ซึ่งไม่อนุญาตให้มีเจตนาในการเข้าเมืองเพื่อวัตถุประสงค์อื่นอีก ) และไม่จำต้องได้รับการอนุมัติจาก USCIS เสียก่อน ข้อควรสังเกตคือวีซ่าไม่อพยพประเภทเหล่านี้เป็นการยากที่จะขอสำหรับคนรักของบุคคลสัญชาติอเมริกันตามมาตรา 214b แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองและสัญชาติ มาตรานี้ได้วางหลักถึงข้อสันนิษฐานที่จะต้องทำให้ปราศจากความสงสัยให้ได้ก่อนที่จะออกวีซ่าให้
เมื่อบุคคลสัญชาติอเมริกันยื่นคำขอวีซ่า K1, K3, CR1 หรือ IR1 จะต้องยื่นคำขอไปยัง USCIS เสียก่อน มีศูนย์บริการ USCIS อยู่สองแห่งโดยขึ้นอยู่กับภูมิลำเนาของผู้ยื่นขอชาวอเมริกัน ผู้ยื่นคำขอจะต้องยื่นคำขอต่อ USCIS และจะมีการออกใบรับให้เรียกว่า Notice of Action 1 (NOA1 ) ใบรับนี้จะแสดงชื่อผู้ยื่นคำขอและผู้รับผลประโยชน์ รวมถึงวันที่รับเรื่องและวันที่ออกใบรับ ใบรับนี้จะแสดงหมายเลขเรื่องด้วย
สำหรับผู้ที่ใช้บริการทนายความทำวีซ่าอเมริกา สำเนา Notice of Action 1 จะถูกส่งไปยังทนายความในกรณีที่ทนายความได้ยื่นแบบ G28 เข้าไปด้วยกับคำขอวีซ่า ก่อนทีจะใช้บริการกับทนายคนใด คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะมีการยื่นแบบ G28 ด้วยเนื่องจากมันค่อนข้างมีความสัมพันธ์ต่อการดำเนินการตามคำขอวีซ่า และบริษัทวีซ่าไม่สามารถกระทำการแทนลูกค้าต่อ USCIS ได้ดังนั้นน่าจะเป็นการดีที่จะตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลที่คุณต้องการให้เป็นตัวแทนให้ และโชคไม่ดีที่ในประเทศไทยมีผู้ให้บริการที่ไม่ได้รับอนุญาติอยู่มากมายที่ปฏิบัติงานเช่นทนายความมีใบอนุญาติของสหรัฐอเมริกา
Notice of Action 1 นั้นเป็นคนละตัวกับจดหมายจากสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทย จดหมายนี้เรียกว่า Packet 3 และจะถูกส่งในช่วงท้ายๆของกระบวนการคนเข้าเมืองแล้วเท่านั้น
13th April 2010
การแต่งงานในประเทศไทยได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกาหรือไม่?
Posted by : admin
For information in English please see: marriage registration.
มีคนหลายคนแต่งงานในประเทศไทยในแต่ละปี เราได้รับคำถามเกี่ยวกับการยอมรับการสมรสในประเทศไทยจากลูกค้าชาวต่างชาติมากมาย ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศในระบอบคอมมอนลอว์ และเพราะเหตุนั้นการสมรสตามกฎหมายคอมมอนลอว์ไม่สามารถใช้ยันในศาลไทยได้ นั่นหมายความว่าแม้ประเทศไทยจะเป็นระบบกฎหมายซีวิลลอว์ การแต่งงานตามประเภณีหรือตามศาสนายังคงเป็นเรื่องที่ปกติ นี่อาจจะมีสาเหตุมาจากการจดทะเบียนสมรสเป็นไปค่อนข้างยาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับระบบกฎหมายไทยและหน่วยงานราชการของไทย
ในประเทศไทย การสมรสคือการจดทะเบียนที่สำนักงานอำเภอ สำนักงานนี้เป็นหน่วยงานที่รับข้อมูลด้านสำมะโนประชากร และในระบบอเมริกันเราเรียกว่า Court Clerk อำเภอจะเก็บข้อมูลของบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตนั้นๆ ดังนั้นอำเภอจะเก็บข้อมูลการเปลี่ยนชื่อ การสมรส การเกิด และการตายในประเทศไทย เป็นไปได้ที่บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยสองคนจะสมรสกันในประเทศไทย อนึ่ง สำนักงานแต่ละแห่งจะมีระเบียบภายในของตนเอง ดังนั้นคุณควรปรึกษาทนายเพื่อช่วยเหลือในการจดทะเบียนสมรส
เมื่อมีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยแล้ว คำถามคือ สหรัฐอเมริกายอมรับการสมรสนั้นหรือไปไม่ พูดง่ายๆก็คือ ยอมรับ ตามเว็บไซต์ของสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทยนั้น ในกรณีที่การสมรสได้ทำขึ้นตามกฎหมายในราชอาณาจักร “ประเทศสหรัฐอเมริกายอมรับความสมบูรณ์ของการสมรสนั้น” นี่เป็นคำถามสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเกี่ยวกับวีซ่าสหรัฐอเมริกา หากว่าการสมรสของคู่สมรสนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากสหรัฐอเมริกา คำขอวีซ่า CR1 หรือ K3 สำหรับคู่สมรสก็จะถูกปฏิเสธ เนื่องจากคู่สมรสไม่มีคุณสมบัติที่จะออกวีซ่าให้ อีกทั้งสำหรับคู่รักที่ต้องการขอวีซ่า K1 สำหรับคู่หมั้น ก็อาจจะเกิดมาจากการที่ทั้งคู่ได้สมรสกันในประเทศไทยโดยคิดว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการสมรสนั้น ในกรณีนั้น USCIS จะถูกบังคับให้ต้องปฏิเสธคำขอเนื่องจากคำขอขาดคุณสมบัติ “เจตนาที่จะสมรส” ไม่ใช่จากการสมรสนั้น
มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสของไทยที่ต้องเกี่ยวกับการทำสัญญาก่อนสมรส ในประเทศไทย สัญญาก่อนสมรสจะถูกบันทึกไว้พร้อมกับการจดทะเบียนสมรสที่อำเภอใน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูเรื่อง สัญญาก่อนสมรสของไทย
เพื่อเป็นการสรุป การสมรสที่ทำขึ้นอย่างถูกต้องในประเทศไทยถือว่าสมบูรณ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเพื่อวัตถุประสงค์ในการขอวีซ่าอเมริกา หรือเพื่อผลประโยชน์ทางกฎหมายคนเข้าเมืองอื่นๆ ดังนั้นการสมรสในประเทศไทยไม่ใช่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญเพียงเล็กน้อย เมื่อคิดจะทำการสมรสในประเทศไทย โปรดจำไว้ว่าการสมรสนั้นจะถูกปฏิบัติเหมือนการสมรสที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
12th April 2010
For information in English please see: US Visa Thailand.
การถูกปฏิเสธวีซ่าไม่ใช่สิ่งที่คนที่กำลังศึกษาข้อมูลเพื่อขอวีซ่าอยากจะนึกถึง อย่างไรก็ตามการที่วีซ่าถูกปฏิเสธเกิดขึ้นและหากเราทำความเข้าใจเหตุผลของการถูกปฏิเสธ ก็อาจจะทำให้ผู้ที่คิดจะอพยพเข้าเมืองทำการตัดสินใจโดยอ้างอิงข้อมูลว่าจะต้องมีวิธีการในการเข้าเมืองอย่างไร
เมื่อพูดถึงการเข้าเมืองโดยเหตุผลทางครอบครัว การประเมินที่ผิดพลาดก็มักจะเกี่ยวข้องกับการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว ตัวอย่างเช่น หากว่าบุคคลสัญชาติอเมริกันมีคู่หมั้นชาวไทยและเขาต้องการช่วยขอวีซ่าท่องเที่ยวให้กับเธอ วีซ่าก็มักจะถูกปฏิเสธ เรื่องที่ไม่ได้เกิดจากอคติใดๆของเจ้าหน้าที่กงสุลอเมริกัน แต่ว่ามันมีเหตุมาจากกฎหมายคนเข้าเมืองอเมริกัน
น่าจะดีที่สุดหากจะยกเอาประโยคพื้นๆจากเว็บไซติกระทรวงต่างประเทศสหรัฐมาให้อ่านกัน
“มาตรา 214(b) เป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองและสัญชาติ” กล่าวว่า
“บุคคลต่างด้าวทุกคนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจะเป็นผู้อพยพ จนกว่าผู้นั้นสามารถแสดงให้พอใจแก่เจ้าหน้าที่กงสุล ในเวลาที่ยื่นคำขอเข้าเมือง ว่าบุคคลผู้นั้นสามารถได้รับสถานภาพผู้เข้าเมืองไม่อพยพ”
ในอันที่จะมีคุณสมบัติในการออกวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่านักเรียนให้ ผู้ขอจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามมาตรา 101(a)(15)(B) หรือ (F)แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองและสัญชาติ การไม่สามารถแสดงคุณสมบัติดังกล่าวได้จะทำให้มีเหตุในการปฏิเสธวีซ่าตามมาตรา 214(b) เหตุผลพื้นฐานของการปฏิเสธตามมาตรานี้เกี่ยวกับคุณสมบัติที่ว่านักท่องเที่ยวหรือนักเรียนนักศึกษาผู้นั้นต้องมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งไม่มีเจตนาละทิ้ง ผู้ขอวีซ่าสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของถิ่นที่อยู่นั้นโดยการแสดงความเชื่อมโยงที่บีบบังคับให้ต้องออกจากประเทศสหรัฐเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา กฎหมายกำหนดให้เป็นภาระการพิสูจน์ของผู้ยื่นขอวีซ่า”
การเอาชนะข้อสันนิษฐานว่าจะอพยพมักจะเป็นอุปสรรคขนาดใหญ่แต่การปฏิเสธวีซ่าภายใต้มาตรานี้เพิ่งจะแพร่หลายหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการหลายๆอย่างในการขอวีซ่าไม่อพยพ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวจะต้องถูกสัมภาษณ์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงข้อนี้ รวมถึงมาตรการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นทำให้วีซ่าท่องเที่ยวถูกปฏิเสธมากขึ้น ในหลายๆกรณีการปฏิเสธตามมาตรา 214b เกิดจากการที่ผู้ขอวีซ่าไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าจะกลับมายังประเทศแม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดจะออกจากสหรัฐอเมริกา
เมื่อผู้ขอวีซ่าเป็นคนรักของบุคคลสัญชาติอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบุคคลสัญชาติอเมริกันนั้นพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็เป็นไปได้อยากที่จะมีการอนุมัติวีซ่าท่องเที่ยวให้นอกจากว่าผู้ขอจะสามารถแสดง ความเกี่ยวโยงที่แข็งแรง ต่อประเทศแม่ให้ประจักษ์ อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เสียเวลาและทรัพยากร น่าจะเป็นการดีกว่าที่คู่รักจะขอวีซ่า K1 หรือ K3 วีซ่า K1 เป็นวีซ่าชั่วคราวที่ให้คุณอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้เป็นการชั่วคราว แต่เปิดช่องว่างภายใต้ทฤษฎีเจตนามากกว่าหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ปรับเปลี่ยนสถานภาพเป็นผู้ถือกรีนการ์ดอเมริกา
9th April 2010
To see related information in English please see: 221g.
ยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่วีซ่าถูกปฏิเสธภายใต้มาตรา 221 (G ) สำหรับคำร้องขอวีซ่าจากประเทศไทย การปฏิเสธวีซ่าตามมาตรา 221 (G ) ก็คือการปฏิเสธเพื่อขอหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อเจ้าหน้าที่กงสุลตัดสินใจว่าจะออกวีซ่าสหรัฐอเมริกาให้หรือไม่ ( ในการนี้ให้ดูเรื่อง วีซ่าคู่หมั้น K1, K3 หรือ วีซ่าคู่สมรส CR1 ) เจ้าหน้าที่จะทำการสืบเสาะข้อเท็จจริงเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขอวีซ่าเป็นบุคคลตามที่กล่าวอ้างจริง และจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลที่มีมูล ( ในกรณีเช่นนี้หมายความว่าต้องเป็นการเดินทางไปเพื่อวัตถุประสงค์ความสัมพันธ์ทางครอบครัวกับผู้ร้องสัณชาติอเมริกัน )
คู่รักบางคู่มีความกังวลใจเมื่อได้รับ แบบ 221 (G) และก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ขอวีซ่ามาจากต่างจังหวัด ซึ่งก็เป็นปัญหาได้ หากว่าผู้ขอวีซ่ามีสำมะโนครัว (ทะเบียนบ้าน ) อยู่ต่างจังหวัดและเป็นการยากต่อการเดินทางกลับไป บ่อยครั้งที่เอกสารที่ถูกเรียกจะต้องออกโดยอำเภอที่ผู้ขอวีซ่ามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับสถานทูตที่จะออก คำร้องขอเอกสารเพิ่มเติมในลักษณะนี้ แต่ก็สามารถเป็นเรื่องลำบากสำหรับผู้ขอวีซ่าชาวไทยที่จะไปนำเอกสารที่จำเป็นนั้นมาให้ได้
การปฏิเสธวีซ่าภายใต้มาตรา 221 (g) นี้โดยทั่วไปแล้วจะให้เวลาผู้ขอวีซ่า 1 ปีในการหาเอกสารที่ได้รับการร้องขอก่อนที่สถานทูตจะทำการทำลายไฟล์ของคุณ หากไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอนี้ ก็อาจจะทำให้คำร้องขอวีซ่าของคุณถูกยกเลิกและต้องเริ่มกระบวนการใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิเสธวีซ่าภายใต้มาตรา 221 ( G) อาจจะเป็นการดีที่จะขอความช่วยเหลือจากทนายความด้านกฎหมายคนเข้าเมือง เพื่อป้องกันการปฏิเสธวีซ่าภายใต้มาตรา 221 ( G) แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้มีการจ้างทนายความแล้ว คุณก็ยังคงสามารถถูกปฏิเสธวีซ่าภายใต้มาตรา 221 ( G) ได้ หากว่ามีเอกสารอื่นที่จำเป็นต้องแสดง เจ้าหน้าที่กงสุลมีอำนาจดุลพินิจอย่างกว้างขวางตามอำนาจเด็ดขาดของกงสุล ดังนั้น คำร้องขอเอกสารเพิ่มเติมโดยเจ้าหน้ากงสุลเป็นเรื่องที่คุณต้องให้การตอบรับคำร้องขอนั้นภายในเวลาที่กำหนดให้
The hiring of a lawyer is an important decision that should not be based solely on advertisement. Before you decide, ask us to send you free written information about our qualifications and experience. The information presented on this site should not be construed to be formal legal advice nor the formation of a lawyer/client relationship.